วันเสาร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2558

วิวัฒนาการของมนุษย์

วิวัฒนาการของมนุษย์
          วิวัฒนาการ ในความหมายทั่วไป หมายถึง การเปลี่ยนแปลงจากสภาพหนึ่งไปสู่อีกสภาพหนึ่ง  ในลักษณะจองการค่อยเป็นค่อยไปตามลำดับขึ้นโดยอาศัยระยะเวลาอันยาวนาน  วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตจึงหมายถึงการเปลี่ยนแปลงทีละน้อยจากสิ่งมีชีวิตดั้งเดิมสืบต่อกันมาจนกลายเป็นสิ่งมีชีวิตในปัจจุบัน  ที่แตกต่างจากสิ่งมีชีวิตดั้งเดิมอันเป็นผลจากพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม ดอบซานสกี (Dobzhansky)  นักพันธุศาสตร์และวิวัฒนาการชาวรัสเซีย ได้กล่าวไว้ดังนี้  
                ส่วนประกอบของพันธุกรรมของประชากรที่เกิดขึ้นต่อเนื่องกัน  โดยการเปลี่ยนแปลงนี้อาจเกิดขึ้นเพียงบางส่วนหรือทั้งหมดอันเป็นผล มาจากปฏิกิริยาที่สิ่งมีชีวิตมีการปรับตัวให้เหมาะสมกับสิ่งแวดล้อม  กระบวนการนี้เมื่อเกิดขึ้นแล้วจะไม่มีการย้อนกลับเป็นอย่างเดิมอีก
          วิวัฒนาการ ในความหมายทั่วไป หมายถึง การเปลี่ยนแปลงจากสภาพหนึ่งไปสู่อีกสภาพหนึ่ง  ในลักษณะจองการค่อยเป็นค่อยไปตามลำดับขึ้นโดยอาศัยระยะเวลาอันยาวนาน วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตจึงหมายถึงการเปลี่ยนแปลงทีละน้อยจากสิ่งมีชีวิตดั้งเดิมสืบต่อกันมาจนกลายเป็นสิ่งมีชีวิตในปัจจุบัน  ที่แตกต่างจากสิ่งมีชีวิตดั้งเดิมอันเป็นผลจากพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม  ดอบซานสกี (Dobzhansky)  นักพันธุศาสตร์และวิวัฒนาการชาวรัสเซีย ได้กล่าวไว้ดังนี้  “วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต  คือกระบวนการเปลี่ยนแปลง

สะโพก

สะโพก
ข้อต่อสะโพกของมนุษย์ปัจจุบันใหญ่กว่าในสปีชีส์บรรพบุรุษที่เดินด้วยสี่เท้า เพื่อที่จะรองรับอัตราส่วนน้ำหนักที่มากกว่าและตัวสะโพกเองก็สั้นกว่า กว้างกว่า ความเปลี่ยนแปลงทางรูปร่างเช่นนี้ทำให้กระดูกสันหลังใกล้เข้ามากับข้อต่อสะโพกยิ่งขึ้น กลายเป็นฐานที่มีเสถียรภาพเพื่อรองรับลำตัวเมื่อเดินตัวตรงนอกจากนั้นแล้ว เพราะการเดินด้วยสองเท้าทำให้จำเป็นที่จะต้องทรงตัวอยู่บนข้อต่อสะโพกซึ่งเป็นแบบเบ้า (ball and socket) ที่ค่อนข้างไม่มีเสถียรภาพ การมีกระดูกสันหลังใกล้กับข้อต่อทำให้สามารถใช้แรงกล้ามเนื้อน้อยลงในการทรงตัวการเปลี่ยนแปลงทางรูปร่างของสะโพกลดระดับองศาที่สามารถยืดขาออกไปได้ ซึ่งเป็นการปรับตัวที่ช่วยรักษาพลังงานกระดูกปีกสะโพก (ilium) ก็สั้นลงและกว้างขึ้น และส่วนล้อมของกระดูกเชิงกรานก็เปลี่ยนไปหันเข้าข้าง ๆ ทั้งสองเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เพิ่มบริเวณสำหรับยึดของกล้ามเนื้อสะโพก ซึ่งช่วยดำรงเสถียรภาพของลำตัวเมื่อยืนบนขาเดียว
โดยมีเหตุผลเดียวกันกับสะโพก ซึ่งก็คือเพื่อช่วยรับน้ำหนักในอัตราส่วนที่สูงขึ้นระดับการยืดแข้ง (knee extension) คือองศาระหว่างต้นขากับหน้าแข้งในระหว่างการเดิน ก็ลดลง รูปแบบการยืดแข้งในการเดินของมนุษย์มีช่วงยืดแข้งท้ายสุด ที่ต้องอาศัยการทำงานของเข่าทั้งสองข้างที่เรียกว่า "double knee action" หรือว่า "obligatory terminal rotation" การทำงานเยี่ยงนี้ลดการสูญเสียพลังงานเนื่องจากการเคลื่อนขึ้นลงของศูนย์กลางมวลมนุษย์เดินโดยมีเข่าตรงและมีต้นขาที่โค้งเข้าไปจนกระทั่งเข่าเกือบจะอยู่ใต้ร่างกายตรง ๆ แทนที่จะออกไปอยู่ข้าง ๆ ดังที่พบในสัตว์บรรพบุรุษ ท่าทางการเดินเช่นนี้ช่วยในการทรงตัว

การเดินด้วยสองเท้า

การเดินด้วยสองเท้า
การเดินด้วยสองเท้า (bipedalism) เป็นการปรับตัวขั้นพื้นฐานของสัตว์เผ่า hominini[B] และพิจารณาว่าเป็นเหตุของการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างกระดูกต่าง ๆ ที่ hominin ทุก ๆ สกุลมีวิวัฒนาการของการเดินด้วยสองเท้า (bipedalism) ในมนุษย์เริ่มขึ้นเมื่อประมาณ ๔ล้านปีก่อนซึ่งนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงทางสัณฐานของโครงกระดูกมนุษย์ รวมทั้งโครงสร้างและขนาดของเท้า ขนาดและรูปร่างของสะโพก ความยาวของขา และรูปร่างและทิศทางของกระดูกสันหลัง มีทฤษฎีต่าง ๆ หลายอย่างเกี่ยวกับเหตุทางวิวัฒนาการต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้
เท้าของมนุษย์
เท้ามนุษย์ได้วิวัฒนาการมาเป็นโครงสร้างที่รับน้ำหนักกายทั้งหมด แทนที่จะเป็นอวัยวะใช้ในการจับ เช่นที่มีในบรรพบุรุษมนุษย์ยุคต้น ๆ ดังนั้น มนุษย์จึงมีนิ้วเท้าที่เล็กกว่าบรรพบุรุษที่เดินด้วยสอง
พวก homonids ที่ขึ้นไปยังยุโรป ต่อมากลายเป็นมนุษย์ Neandertals ซึ่งอยู่ในระดับวิวัฒนาการที่สูงกว่า homo erectus แต่ ต่ำกว่า homo sapiens Neandertals มีชีวิตอยู่ในช่วงสองแสนปีก่อน อาศัยอยู่ในถ้ำ จึงเรียกว่า caveman มีโครงกระดูกแตกต่างไปจากพวก homonids ที่แหล่ง อื่นๆ ในขณะที่พวกที่ไปอยู่ในประเทศจีนและเกาะชวา อินโดนีเซีย ก็ได้พัฒนามาเป็น homo sapiens ที่ค้นพบได้ล่าสุดก็เมื่อ 25,000 ปีมานี้เอง Neandertals มีระบบสังคม มีการอยู่เป็นครอบครัว เลือก ที่จะอยู่ในถ้ำแทนที่จะอยู่ในป่าและเปลี่ยน พฤติกรรมการบริโภคจากการกินพืชผลไม้มากินเนื้อสัตว์
   ปัจจุบันมาก Neanderthal เพศชายมีความสูงประมาณ 165 เซนติเมตร ในขณะที่เพศหญิงมีความสูงประมาณ 153-157 เซนติเมตร Neanderthal เป็นมนุษย์ที่สามารถใช้อุปกรณ์ได้ดี เดิมที Neanderthal ถูกจัดเป็น subspecies ของ Sapiens แต่จากหลักฐานทางพันธุกรรมชี้ว่า Neanderthal ควรถูกจัดเป็นคนละ species กับ Sapiens ปัจจุบัน ก่อนหน้านี้ Neanderthal ถูกมองว่าเป็นมนุษย์ถ้ำซึ่งไร้อารยธรรม ไร้ภาษา แต่การศึกษาเร็วๆนี้พบว่า Neanderthal มีภาษาพูดเช่นเดียวกับเรา และยังมีวัฒนธรรมที่เฉพาะตัวมีสมมุติฐานมากมายเกี่ยวกับการสุณพันธุ์ของ Neanderthal ซึ่งสมมุติฐานที่น่าสนใจได้แก่ การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศโลก ทำให้โลกอุ่นขึ้น และการรุกรานจอง Sapeinsภาพซ้ายแสดงกะโหลกของ Sapeins ด้านขวาเป็นกะโหลกของ Neanderthal

ขาและกระดูกไขสันหลังของมนุษย์

ขาและกระดูกไขสันหลังของมนุษย์
ขาขอมนุษย์
กระดูกสันหลังของมนุษย์งอไปด้านหน้าข้างบน (lumbar region) และงอไปทางด้านหลังข้างล่าง (thoracic region) ถ้าไม่มีส่วนโค้งด้านบน กระดูกสันหลังก็จะต้องเอนไปข้างหน้าตลอดเวลา (เมื่อตัวตรง)
การมีขายาวขึ้นเริ่มต้นตั้งแต่วิวัฒนาการมาเดินด้วยสองเท้า ได้เปลี่ยนการทำงานของกล้ามเนื้อขาในการยืน ในมนุษย์ แรงยันไปข้างหน้ามาจากกล้ามเนื้อขาโดยดันที่ข้อเท้า ขาที่ยาวกว่าทำให้สามารถเหวี่ยงขาไปได้อย่างธรรมชาติ ดังนั้น เมื่อกำลังเดิน เราจะไม่ต้องใช้กล้ามเนื้อในการเหวี่ยงเท้าไปข้างหน้าสำหรับก้าวต่อไปและเพราะไม่ต้องใช้รยางค์บนในการเดิน จึงสามารถใช้มือแขนในการหิ้ว ถือ และจับการควบคุมวัตถุในมือได้อย่างคล่องแคล่วแม่นยำแล้วจึงมีผลทำให้แขนสั้นลงเทียบกับตัวโดยเปรียบเทียบกับเอปการมีขายาวและแขนสั้นช่วยให้สามารถเดินตัวตรงได้ เทียบกับลิงอุรังอุตังและชะนีซึ่งมีการปรับตัวให้มีแขนยาว เพื่อที่จะใช้โหนและเหวี่ยงตัวบนต้นไม้ได้แม้ว่าเอปจะสามารถยืนด้วยสองเท้า แต่ก็ไม่สามารถยืนได้นาน ๆ เพราะว่า กระดูกต้นขาของเอปไม่ได้มีการปรับตัวเพื่อที่จะเดินด้วยสองเท้า คือเอปมีกระดูกต้นขาที่ตั้งตรง ในขณะที่มนุษย์มีกระดูกต้นขาที่โค้งเข้าไปด้านในจากสะโพกจนถึงเข่า ซึ่งเป็นการปรับตัวที่ทำให้เข่ามนุษย์ชิดกันมากขึ้น และอยู่ใต้ศูนย์กลางมวลของร่างกาย และช่วยให้มนุษย์สามารถล็อกหัวเข่าและยืนตรง ๆ ได้เป็นเวลานานโดยไม่ต้องใช้แรงจากกล้ามเนื้อมาก
กระดูกไขสันหลัง

กระดูกสันหลังของมนุษย์งอไปด้านหน้าข้างบน (lumbar region) และงอไปทางด้านหลังข้างล่าง (thoracic region) ถ้าไม่มีส่วนโค้งด้านบน กระดูกสันหลังก็จะต้องเอนไปข้างหน้าตลอดเวลา (เมื่อตัวตรง)
ต้องใช้แรงกล้ามเนื้อมากกว่าสำหรับสัตว์ที่เดินสองเท้า แต่เพราะว่ามีส่วนโค้งด้านบน มนุษย์ใช้แรงกล้ามเนื้อน้อยกว่าในการยืนและการเดินตัวตรงทั้งส่วนโค้งด้านบนและส่วนโค้งด้านล่างช่วยทำให้ศูนย์กลางมวลของมนุษย์ตั้งอยู่เหนือเท้าโดยตรงนอกจากนั้นแล้ว การปรับร่างกายให้ตรงในช่วงการเดินจะมีน้อยกว่าซึ่งช่วยในการรักษาพลังงา

ประวัติศาสตร์โลก

ประวัติศาสตร์โลก
ประวัติศาสตร์โลกหรือประวัติศาสตร์มนุษยชาติเริ่มต้นที่ยุคหินเก่า ประวัติศาสตร์โลกไม่รวมประวัติศาสตร์ธรรมชาติที่ไม่ใช่มนุษย์และประวัติศาสตร์ธรณีวิทยา ยกเว้นตราบเท่าที่โลกธรรมชาตินั้นกระทบต่อชีวิตมนุษย์เป็นอย่างมาก ประวัติศาสตร์โลกประกอบด้วยการศึกษาทางโบราณคดีและหลักฐานลายลักษณ์อักษรตั้งแต่สมัยโบราณ ประวัติศาสตร์โบราณที่มีบันทึกเริ่มต้นจากการประดิษฐ์การเขียน ทว่า รากเหง้าแห่งอารยธรรมมีมาแต่ก่อนการประดิษฐ์การเขียน สมัยก่อนประวัติศาสตร์เริ่มต้นในยุคหินเก่า ต่อด้วยยุคหินใหม่และการปฏิวัติเกษตรกรรม (ระหว่าง 8000 ถึง 5000 ปีก่อนคริสตกาล) ในวงพระจันทร์เสี้ยวไพบูลย์ (Fertile Crescent) การปฏิวัติเกษตรกรรมเป็นเครื่องหมายการเปลี่ยนแปลงในประวัติศาสตร์มนุษย์ โดยมนุษย์เริ่มต้นทำการเกษตร คือ กสิกรรมและการเลี้ยงสัตว์อย่างเป็นระบบ เมื่อเกษตรกรรมก้าวหน้าขึ้น มนุษย์ส่วนมากเปลี่ยนจากวิถีชีวิตเร่ร่อนมาเป็นตั้งถิ่นฐานเป็นเกษตรกรในนิคมถาวร การเร่ร่อนยังมีอยู่ในบางที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ห่างไกลซึ่งมีพืชที่เพาะปลูกได้ไม่กี่ชนิดแต่ความมั่นคงสัมพัทธ์และผลิตภาพที่เพิ่มขึ้นจากกสิกรรมทำให้ชุมชนมนุษย์ขยายเป็นหน่วยที่ใหญ่กว่า ซึ่งความก้าวหน้าในการขนส่งก็มีส่วนช่วยง
การปฏิวัติเกษตรกรรมเริ่มขึ้นครั้งแรกในราวๆ 10,000 ปีก่อนคริสตกาล การทำเกษตรกรรมเป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดระบบการจัดการ และสร้างอาหารส่วนเกิน (surplus) จากการบริโภคทำให้เกิดการค้าขายได้ การเกษตรสร้างระบบเมืองในยุคแรก ทำให้เกิดการค้าขาย การผลิต และอำนาจทางการเมือง สำหรับผู้ไม่ได้ผลิตในภาคการเกษตร
อักษรคูนิฟอร์มซึ่งเป็นระบบการเขียนแรกสุดการพัฒนาระบบเมืองยังทำให้เกิดการพัฒนาทางด้านภาษา และความรุ่งเรืองของอารยธรรมตามมา ดังจะเห็นได้จากในช่วง 40,000 ปีก่อนคริสตกาลก่อนจะมีเมืองเกิดขึ้น มีหลักฐานการสร้างที่อยู่อาศัยที่มนุษย์สร้างขึ้นในตอนเหนือของแคว้นปัญจาบ และเอเชียกลาง (Bactria) ในช่วง 7,000 ปีก่อนคริสตกาล มีหลักฐานว่ามนุษย์เริ่มปลูกข้าวบาร์เลย์ และเลี้ยงแกะกับแพะ ในบริเวณดังกล่าว ในช่วงนั้น คนเริ่มอาศัยอยู่ในหมู่บ้านซึ่งสร้างโดยอิฐและดินเหนียว ซึ่งบางส่วนยังคงเหลือให้เห็นในปัจจุบัน แหล่งอารยธรรมแรกเป็นแหล่งอารยธรรมเมโสโปเตเมียตอนล่างของชาวสุเมเรียน ในช่วง 3500 ปีก่อนคริสตกาล ตามมาด้วยอารยธรรมอียิปต์ บริเวณลุ่มแม่น้ำไนล์ ในช่วง 3300 ปีก่อนคริสตกาลและอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ ในช่วงเดียวกันระบบเมืองเริ่มซับซ้อนมากขึ้นจากระบบทางสังคมและเศรษฐกิจ แต่ละอารยธรรมมีความแตกต่างจากอารยธรรมอื่นเนื่องจากอารยธรรมต่างๆ ยังไม่สัมพันธ์กัน เริ่มมีระบบการเขียน และการค้าขาย
ยุค 5000 ปีก่อน เป็นเริ่มที่มนุษย์รู้จักการเพราะปลูก โดยเริ่มจากข้าวสาลีและข้าวบาร์เลย์ และมนุษย์ยุคนี้จะเริ่มอยู่รวมกันเป็นหมู่บ้านหรือนิคม บางแห่งถ้าใหญ่หน่อยจะเริ่มจัดตั้งเป็นเมือง มีหัวหน้าเผ่าหรือเจ้าครองแคว้นเป็นผู้นำจะเห็นได้ว่า ระยะเวลาที่มนุษย์วิวัฒนาการนั้นกินระยะเวลายาวนานไม่ใช่เล่น จากลิงขนดกร่างใหญ่ พัฒนาร่ากาย ความคิด มันสมองมาเรื่อยๆ จนเริ่มอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่ม และรู้จักการใช้สอยสิ่งและพัฒนาต่างๆ รอบตัวได้ในที่สุด ระยะเวลาของกระบวนการวิวัฒนาการทั้งหมดนี้กินเวลาถึง 70 ล้านปีซึ่งการศึกษาประวัติศาสตร์ต่างๆ ในเรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่สนุกและได้ความรู้มากครับ ทำให้เห็นถึงความน่าทึ่งของเผ่าพันธุ์มนุษย์จากยุคโบราณจนถึงยุคปัจจุบันเลยทีเดียว
กว่าจะมาเป็นมนุษย์ได้ มิใช่ง่ายๆ Homonids ต้องผ่านวิวัฒนาการ อพยพย้ายถิ่นฐานมาหลายครั้ง ใช้ระยะเวลาวิวัฒนาการที่ค่อนข้างยาวนาน 1-2 ล้านปี นักชีววิทยาจัดให้ Homonids ในช่วงแรกอยู่ใน species ที่เรียกว่า homo erectus ด้วยเกิดการเปลี่ยนแปลงหลักๆ คือ การเปลี่ยนรูปร่างลักษณะจากความเป็นลิงมาเดินสองขา หลังค่อยๆ ตั้งตรงขึ้นๆ แขนสั้นขึ้นขายาวขึ้น ส่วนวิวัฒนาการในช่วงหลังที่เปลี่ยนมาเป็น homo sapiens นั้นจะเป็นไปในทางที่พัฒนาสมองและความสามารถต่างๆ เพิ่มขึ้น โดยมีสัดส่วนของสมองใหญ่ขึ้นเมื่อเทียบกับน้ำหนักตัว มีไหวพริบรู้จักแก้ไขปัญหา (intelligence) มีการเปลี่ยนแปลงใกล้ความเป็นคนขึ้น ในช่วงนี้มีอะไรเกิดขึ้นมากมาย ที่เรายังไม่สามารถศึกษาได้ชัดเจนนัก เท่าที่ผ่านมานักมานุษยวิทยาได้ศึกษาจากลักษณะโครงกระดูก กะโหลกที่ขุดพบเป็นหลักและใช้รังสีประเมินอายุ แต่ปัจจุบันวิทยาการก้าวหน้าขึ้น เราสามารถศึกษาได้จากรหัส DNA เทียบกับมนุษย์ปัจจุบัน ทำให้ความเร้นลับต่างๆ เผยออกมาได้อีกมาก


มนุษย์ยุคหินเก่า

มนุษย์ยุคหินเก่า
คนในยุคหินเก่าดำรงชีพด้วยการล่าสัตว์ และเสาะแสวงหาพืชผักผลไม้กินเป็นอาหารมีการพึ่งพาอาศัยธรรมชาติ และสภาวะแวดล้อมอย่างเต็มที่ กล่าวคือ เมื่อฝูงสัตว์ที่ล่าเป็นอาหารหมดลงก็ต้องอพยพย้ายถิ่นติดตามฝูงสัตว์ไปเรื่อย ๆ การที่มนุษย์จำเป็นต้องแสวงหาถิ่นที่อยู่ใหม่เพราะต้องล่าสัตว์ดังกล่าว อาจทำให้คนต้องปรับพฤติกรรมการบริโภคไปในตัวด้วย เนื่องจากชีวิตส่วนใหญ่ของคนในยุคหินเก่าต้องอยู่ กับการแสวงหาอาหารและการป้องกันตัวจากสัตว์ร้ายและภัยธรรมชาติรวมถึงการต่อสู้ในหมู่พวกเดียวกันเพื่อ การอยู่รอด จึงทำให้ต้องพัฒนาเกี่ยวกับเครื่องมือล่าสัตว์ โดยการพัฒนาอาวุธที่ทำด้วยหินสำหรับตัด ขูดหรือ สับ เช่น หอก มีด และเข็ม เป็นต้น
มนุษย์ในยุคหินจะไม่มีเสื้อใสในจะเอาใบไม้มามัดไว้รอบเอวจไม่มีรองเท้าสภาพภูมิอากาศของช่วงเวลายุคหินยาวนานถึงสองยุคทางธรณีวิทยาที่รู้จักกันคือ สมัยไพลโอซีน (Pliocene) และ สมัยไพลทซีน (Pleistocene) ทั้งสองยุคนี้ได้ประสบการเปลี่ยนแปลงทางภูมิศาสตร์และภูมิอากาศที่สำคัญที่มีผลต่อสังคมมนุษย์ ในช่วงระหว่างยุค Pliocene ทวีปยังคงเลื่อนตัวอาจจะเป็นระยะไกลเท่าที่เป็นไปได้คือ 250 กิโลเมตรจากตำแหน่งที่ตั้งเดิมของพวกเขาไปอยู่ในตำแหน่งเพียง 70 กิโลเมตรจากตำแหน่งที่ตั้งปัจจุบันของพวกเขา ทวีปอเมริกาใต้กลายเป็นที่เชื่อมโยงไปยังทวีปอเมริกาเหนือผ่านคอคอดปานามา
มนุษย์ในยุคหินจะไม่มีเสื้อใสในจะเอาใบไม้มามัดไว้รอบเอวจไม่มีรองเท้าสภาพภูมิอากาศของช่วงเวลายุคหินยาวนานถึงสองยุคทางธรณีวิทยาที่รู้จักกันคือ สมัยไพลโอซีน (Pliocene) และ สมัยไพลทซีน (Pleistocene) ทั้งสองยุคนี้ได้ประสบการเปลี่ยนแปลงทางภูมิศาสตร์และภูมิอากาศที่สำคัญที่มีผลต่อสังคมมนุษย์ ในช่วงระหว่างยุค Pliocene ทวีปยังคงเลื่อนตัวอาจจะเป็นระยะไกลเท่าที่เป็นไปได้คือ 250 กิโลเมตรจากตำแหน่งที่ตั้งเดิมของพวกเขาไปอยู่ในตำแหน่งเพียง 70 กิโลเมตรจากตำแหน่งที่ตั้งปัจจุบันของพวกเขา ทวีปอเมริกาใต้กลายเป็นที่เชื่อมโยงไปยังทวีปอเมริกาเหนือผ่านคอคอดปานามา

มนุษย์โครมันยอง

มนุษย์โครมันยอง
มนุษย์โครมันยอง (Cro-Magnon  Man) มีหลักฐานชัดเจน  โครงกระดูกของมนุษย์โครมันยองพบครั้งแรกที่แคว้นเวลส์ในประเทศอังกฤษ เมื่อ ค.ศ. 1823 ต่อมาใน  ค.ศ. 1868 พบโครงกระดูก
มนุษย์โครมันยองเพิ่มที่ฝรั่งเศส มนุษย์โครมันยอง มีอายุประมาณ 35,000 ปีBP.จัดเป็นมนุษย์ยุคหิน สูงต่ำกว่า 6 ฟุตเล็กน้อย มีปริมาณมันสมองใกล้เคียงกับชาวยุโรปปัจจุบัน  มีอวัยวะคล้ายมนุษย์ปัจจุบัน จำแนกช่วงเวลามนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ โดยอาศัยพัฒนาการเครื่องมือเครื่องใช้ในการดำรงชีวิต         แบ่งเป็น 3 ช่วง  คือ ยุคหินเก่า ( 30,000-16,000 BC. ) ยุคหินกลาง (16,000-10,000 BC.) ยุคหินใหม่ (10,000-1,200 BC.)มนุษย์นีแอนเดอร์ทัลอย่างสิ้นเชิง หรือมีการผสมข้ามเผ่าพันธุ์กันแน่ เมื่อปี 1997 สมมติฐานข้อหลังได้รับการปฏิเสธจากนักพันธุกรรมสวันเต แพแอโบซึ่งขณะนั้นประจำการอยู่ที่มหาวิทยาลัยมิวนิก โดยอาศัยหลักฐานจากกระดูกแขนมนุษย์นีแอนเดอร์ทัล แพแอโบและทีมงานสามารถสกัดดีเอ็นเอของ ไมโทคอนเดรีย (mitochondrial NA หรือเทียบได้กับภาคผนวกทางพันธุกรรมที่แนบท้ายข้อความหลักในแต่ละเซลล์) จากตัวอย่างอายุ 40,000 ปีออกมาได้พวกเขาถอดรหัสพันธุกรรมเหล่านั้นและพบว่า ดีเอ็นเอดังกล่าว แตกต่างจากของมนุษย์ในปัจจุบัน ถึงขนาดบ่งชี้ได้ว่าสาแหรกตระกูลของมนุษย์นีแอนเดอร์ทัลและมนุษย์สมัยใหม่แยกจากกันเนิ่นนานก่อนที่มนุษย์สมัยใหม่จะอพยพออกจากแอฟริกาเสียอีก ดังนั้นมนุษย์ทั้งสองเผ่าพันธุ์จึงเป็นตัวแทนของสาแหรกตระกูลมนุษย์ที่มีบรรพบุรุษร่วมกัน แต่มีภูมิศาสตร์และวิวัฒนาการแยกขาดจากกันอย่างชัดเจน แม้การค้นพบทางพันธุกรรมที่น่าทึ่งของแพแอโบนี้ดูเหมือนจะยืนยันว่า มนุษย์นีแอนเดอร์ทัลเป็นเผ่าพันธุ์ ที่แตกต่างออกไป แต่ก็ไม่ได้ให้ความกระจ่างใดๆในปริศนาลึกลับที่ว่า ทำไมพวกเขาจึงพบกับจุดจบ และเพราะเหตุใดเผ่าพันธุ์ของเราจึงอยู่รอดความเป็นไปได้ที่ชัดเจนประการหนึ่งก็คือ มนุษย์สมัยใหม่ก็แค่ฉลาดกว่า สลับซับซ้อนมากกว่า และเป็น มนุษย์„ มากกว่า กระทั่งเมื่อไม่นานมานี้เองที่นัก โบราณคดีออกมาระบุถึง การก้าวกระโดดครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 40,000 ปีก่อนในยุโรป เมื่อการสร้างเครื่องมือหินอันแสนยากเย็นของมนุษย์นีแอนเดอร์ทัลที่เรียกว่า มูสตีเรียน ตามชื่อแหล่งขุดค้นเลอมูสตีเยร์ทางตะวันตกเฉียงใต้ของฝรั่งเศส ถูกแทนที่ด้วยเครื่องมืออันหลากหลายที่ทำจากหินและกระดูก เครื่องประดับร่างกาย และร่องรอยของการแสดงออกทางสัญลักษณ์ อื่นๆที่เกี่ยวเนื่องกับการปรากฏตัวของมนุษย์สมัยใหม่ นักวิทยาศาสตร์บางคนอย่างเช่น ริชาร์ด ไคลน์ นักมานุษยวิทยาจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ยังเชื่อว่ามีการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมอย่างใหญ่หลวง

โฮโม เซเปียนส์

โฮโม เซเปียนส์            
  ยุค 250000 ปีก่อน เป็นยุคที่เรียกกันว่า โฮโม เซเปียนส์ (Homo Sapiens) มีรูปลักษณ์ที่ใกล้เคียงกันมนุษย์ในยุคปัจจุบันมากขึ้น ทั้งยังสามารถพัฒนาเครื่องมือต่างๆ เพื่อใช้ในการล่าสัตว์ได้ให้มีประสิทธิภาพกว่าเดิมได้
โฮโม เซเปียนส์ เริ่มปรากฏขึ้นเมื่อประมาณ 300,000 ปีมาแล้ว แต่วิวัฒนาการแตกต่างจรากโฮโม อีเรคตัส อย่างชัดเจนเมื่อประมาณ 100,000 ปี ที่ผ่านมา โฮโม เซเปียนส์ แบ่งออกเป็น 2 ชนิดย่อย (subspecies) ได้แก่ โฮโม เซเปียนส์นีแอนเดอร์ธัลเลนซิส (Homo Sapiens Neandertalensis) หรือมนุษย์นีแอนเดอร์ธัล และโฮโม เซเปียนส์ เซเปียนส์ (Homo Sapiens Sapiens)

โฮโม เซเปียนส์ เซเปียนส์ หมายถึงมนุษย์ผู้ชาญฉลาดยิ่ง มีลักษณะทางกายวิภาคต่างจากมนุษย์นีแอนเดอร์ธัล คือมีหน้าผากตั้งขึ้น สันคิ้วเล็กลง ไม่ยาวติดกัน ท้ายทอยเรียบมนกลม มีฟันซี่เล็กลง กระดูกบอบบางและเดินตัวตรงกว่านีแอนเดอร์ธัล ในขณะที่นีแอนเดอร์ธัลเวลาเดินจะหลังค่อมเล็กน้อยและใบหน้ายื่นไปข้างหน้า โฮโม เซเปียนส์ เซเปียนส์ ในระยะเริ่มแรกจัดอยู่ในยุคหินเก่าตอนปลาย ตัวแทนแรกๆ ของมนุษย์ในยุคนี้ก็คือ มนุษย์ Klasie ขุดพบในอาฟริกา มนุษย์ Qafzeh และ Skuhl ขุดพบในอิสราเอล มนุษย์โครมันยอง (Cro-Magnon) ขุดพบครั้งแรกที่แหล่งโครงมันยอง ในประเทศฝรั่งเศส มนุษย์โครมันยองมีหน้าผากตั้ง ใบหน้ายาว มีความจุสมองประมาณเกือบ 1,400 ลูกบาศ์กเซนติเมตร ส่วนโฮโม เซเปียนส์ เซเปียนส์ ปัจจุบันมีความจุสมองประมาณ 1,350 ลูกบาศ์กเซนติเมตร มีสมองส่วนหน้าที่พัฒนาตั้งตรงขึ้นมากที่สุด จึงน่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดของการมีระบบภาษาที่สมบูรณ์ (full language) เต็มที่ขึ้น และทำให้เผ่าพันธุ์นี้ประสบความสำเร็จมากกว่าสายพันธุ์อื่นๆ ซากโครงกระดูกของมนุษย์โครมันยองพบเป็นครั้งแรกที่แคว้นเวลล์ในประเทศอังกฤษ เมื่อ ค.ศ. 1823 และเมื่อ ค.ศ. 1868 ได้พบซากโครงกระดูกของมนุษย์พวกเดียวกันนี้อีกในประเทศฝรั่งเศส พวกนี้มีชีวิตอยู่เมื่อประมาณ 35,000 ปีมาแล้ว มีส่วนสูงต่ำกว่า 6 ฟุตเล็กน้อย มีขนาดมันสมองใกล้เคียงกับชาวยุโรปในปัจจุบัน พวกโครมันยองมีชีวิตอยู่ในตอนปลายสมัยหินเก่าและเป็นมนุษย์พวกแรกที่ได้สร้างงานด้านศิลปะคือรูปวาดตามฝาผนังถ้ำ รูปแกะสลักคนและสัตว์ที่ทำขึ้นอย่างหยาบๆ

พัฒนาการของมนุษย์ในยุคออสตราโลพิเธคัส (Australopithecus)

พัฒนาการของมนุษย์ในยุคออสตราโลพิเธคัส (Australopithecus)
ออสตราโลพิเธคัส (Australopithecus) เป็นต้นบรรพบุรุษมนุษย์ในระยะเริ่มแรกที่ปรากฏอยู่เมื่อประมาณ 5 - 4 ล้านปีมาแล้ว แต่ยังอยู่ในสกุล Homo แบบมนุษย์มีความจุสมองประมาณ 450 ลูกบาศก์เซนติเมตร มีส่วนสูง 3 ฟุตเศษ ยืนตัวตรงมีฟันคล้ายฟันมนุษย์แต่สมองยังมีขนาดเล็ก นักโบราณคดีส่วนใหญ่เชื่อว่าแม้ออสตราโลพิธิคัสจะรู้จักเดิน 2 ขา แต่การกินอาหารของพวกเขาส่วนใหญ่ก็ยังเป็นผลไม้ เมล็ดพืช พืชหัวต่างๆ เป็นหลักมากกว่าการกินเนื้อสัตว์
ซากฟอสซิลของออสตราโลพิเธคัสที่รู้จักกันดีคือ ลูซี่” (Lucy) ขุดพบที่แหล่งฮาดาร์ (Hadar) ประเทศเอธิโอเปีย โดยหลุยส์ ลีคกี (Louis Leakey) เป็นฟอสซิลที่มีร่างกายเกือบครบทุกส่วน มีอายุประมาณ 2.9 ล้านปีมาแล้ว ลูซี่เป็นโครงกระดูกของมนุษย์เพศหญิงที่สามารถเดินสองขาและยึดลำตัวตรงได้
ซากฟอสซิลของออสตราโลพิเธคัสที่รู้จักกันดีคือ ลูซี่” (Lucy) ขุดพบที่แหล่งฮาดาร์ (Hadar) ประเทศเอธิโอเปีย โดยหลุยส์ ลีคกี (Louis Leakey) เป็นฟอสซิลที่มีร่างกายเกือบครบทุกส่วน มีอายุประมาณ 2.9 ล้านปีมาแล้ว ลูซี่เป็นโครงกระดูกของมนุษย์เพศหญิงที่สามารถเดินสองขาและยึดลำตัวตรงได้
ออสตราโลพิเธคัส วิวัฒนาการแต่กออกเป็น 2 สาย สายหนึ่ง เรียกว่า โรบัสตัน (Robustus) กินพืชที่แข็งและมีกากใยมาก จึงมีฟันกรามและขากรรไกรใหญ่ ใบหน้าใหญ่ กะโหลกศีรษะหนาและมีสันนูนอยู่ตรงกลาง โรบัสตัสสูญพันธุ์ไปแล้วเมื่อประมาณ 1 ล้านปี สายอีกสายหนึ่ง เรียกว่า แอฟริกานัส (Africanus) เป็นพวกที่กินเนื้อสัตว์เป็นอาหาร ทำให้ได้พลังงานมาสร้างพัฒนาการทางสมองมากขึ้น กินอาหารที่แข็งและมีกากใยน้อยลง ทำให้มีฟันกรามและขากรรไกรเล็กกว่าโรบัสตัส กระดูกใบหน้าและกะโหลกศีรษะบาง ไม่มีสันนูนที่กลางกระโหลก ออสตราโลพิธิคัส แอฟริกานัส เป็นกลุ่มได้วิวัฒนาการขึ้นมาเป็นมนุษย์สกุลโฮโม (Homo)

มนุษย์นีแอนเดอร์ธัล ปรากฏเมื่อประมาณ 75,000 ปีกมาแล้ว เนื่องจากขุดพบครั้งแรกบริเวณที่ราบลุ่มนีแอนเดอร์ (Neander) ของประเทศเยอรมัน จึงตั้งชื่อตามที่ราบลุ่มที่ขุดพบ คำว่า tal ในภาษาเยอรมันหมายถึงที่ราบลุ่ม (valley) ลักษณะทางกายวิภาคของมนุษย์นีแอนเดอร์ธัล คือ มีกะโหลกศีรษะใหญ่ มีความจุสมองมากขึ้น คือ ประมาณ 1,300 ลูกบาศ์กเซนติเมตร ซึ่งมีความใกล้คียงกับมนุษย์ปัจจุบัน สันคิ้วและกระดูกโหนกหน้าผากลาดเอียง มนุษย์นีแอนเดอร์ธัลมีขนาดความสูงประมาณกว่า 5 ฟุตเล็กน้อยการประดิษฐ์เครื่องมือหินแบบมูส์เตเรียน (Mousterian) ซึ่งมีขนาดเล็กลงและมีขอบคมกว่าเครื่องมือหินแบบอาชูเลี่ยน แสดงให้เห็นว่านีแอนเดอร์ธัลใช้เครื่องมือในการทำงานที่ละเอียดประณีตมากขึ้น เช่น แกะสลักไม้และกระดูกสัตว์ เริ่มมีศิลปะการตกแต่งเกิดขึ้น และจากซากโครงกระดูกที่จัดอย่างเป็นระเบียบ รายรอบด้วยเครื่องมือใช้ท่ทำด้วยหินและกระดูกสัตว์ทำให้สันนิษฐานว่าคนเหล่านี้มีพิธีทำสพและอาจมีแนวความคิดเกี่ยวกับเรื่องวิญญาณเป็นอมตะ ซากโครงกระดูกของนีแอนเดอร์ธัลพบในประเทศเบลเยี่ยม ฝรั่งเศส สเปน ยูโกสลาเวีย อิสราเอล อิตาลี เป็นต้นเชื่อกันว่ามนุษย์โฮโม เซเปียนส์ เซเปียนส์ ซึ่งเป็นอีกสายพันธุ์หนึ่ง ซึ่งพัฒนาตัวเองขึ้นในอาฟริกา ได้ก้าวเข้ามาแทนที่มนุษย์นิแอนเดอร์ธัลที่สูญพันธุ์ไป สันนิษฐานว่า อาจเนื่องจากถูกตามล่าฆ่าหมดหรือถูกกดดันหลบไปอยู่ตามที่ห่างไกลจนสูญพันธุ์หมดไป หรืออาจมีบางส่วนผสมพันธุ์ กับโฮโม เซเปียนส์ เซเปียนส์ แล้วค่อย ๆ กลายมาเป็นโฮโม เซเปียนส์ ในปัจจุบัน จุดหลังนี้เป็นข้อสันนิษฐานซึ่งยังไม่มีการพิสูจน์การมีภาษาเบื้องต้นน่าจะพัฒนาในช่วงของโฮโม เซเปียนส์ เนื่องจากการวิเคราะห์โครงสร้างกายภาพ พบว่าโฮโม เซเปียนส์ มีกล่องเสียงเคลื่อนลงมาอยู่บริเวณกลางลำคอซึ่งเป็นตำแหน่งที่จะเปล่งเสียงเป็นภาษาพูดได้ในขณะที่สัตว์ไพรเมตส์ชนิดอื่น รวมทั้งมนุษย์ก่อนหน้านี้มีกล่องเสียงอยู่ในตำแหน่งบนสุดของลำคอ ทำให้ไม่น่าจะสามารถเปล่งเสียงเป็นคำพูดได้นอกจากนี้ พัฒนาการของภาษาพูดยังสัมพันธ์กันกับสมองส่วนหน้าซึ่งเกี่ยวข้องกับการใช้ความคิดสร้างสรรค์ได้พัฒนาขึ้น ภาษาเป็นเครื่องมือสำคัญในการถ่ายทอดวัฒนธรรมและวิถีชีวิต นักมานุษยวิทยาพบว่ามนุษย์นีแอนเดอร์ธัลอาจเริ่มมีการประกอบพิธีกรรม โดยเฉพาะพิธีฝังศพ ซึ่งสะท้อนว่าเริ่มมีจินตนาการเรื่องโลกหลังความตาม แต่ก็มีผู้แย้งหลักฐานนี้ว่าดอกไม้ที่พบในหลุมศพอาจเป็นเกสรดอกไม้ป่าที่ปลิวมาได้

มนุษย์ลิง

มนุษย์ลิง
ยุคกำเนิด 70 ล้านปีก่อน เป็นช่วงแรกเริ่มของวิวัฒนาการ จากลิงตัวใหญ่ ขนดก ไม่มีหางและเดินหลังค่อม กลายมาเป็นเดินตัวตรง มีขนน้อย และมันสมองเริ่มใหญ่ขึ้น
มนุษย์ลิง หรือ Homonids จากลิงใหญ่ (apes) ก็กลายมาเป็นมนุษย์ลิง (homonids) มนุษย์ลิง คือมนุษย์ในช่วงเปลี่ยนถ่ายจากลิงใหญ่มาเป็นคน ที่เคยมีตัวตนอยู่ในช่วง 1-2 ล้านปีก่อน กว่าจะมาเป็นมนุษย์ปัจจุบัน มนุษย์ลิงได้ผ่านวิวัฒนาการมาสองช่วง ระยะแรกจัดเป็นพวก homo erectus ระยะหลังคือ homo sapiens พวก homo sapiens นี้แหละที่กล่าวได้เต็มปากว่าเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ ปัจจุบัน ลักษณะที่ร่วมกันมาจนถึงปัจจุบัน ตั้งแต่ apes มาจนถึงคน คือการชอบอยู่ร่วมกันเป็นสังคม และการรู้จักปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป ใครก็ตาม ที่มีคุณสมบัติทั้งสองอย่างนี้รับรองได้ว่า เอาตัวรอดไปได้ดีเป็นแน่
ยุค 2-5 ล้านปีก่อน เป็นยุคที่เรียกกันว่า ออสตราโลพิธีคัส (Australopithecus) หรือเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์เรานั่นเองซึ่งรูปลักษณ์ของออสตราโลพิธีคัสนั้น จะสามารถวิวัฒนาการร่างกายได้จนลำตัวตั้งตรง และมีการประดิษฐ์หรือใช้สอยเครื่องมือต่างๆ ที่ทำจากหินได้บ้างแล้ว เช่นกระบอง หรือค้อนที่ทำจากหิน สำหรับการล่าสัตว์

มนุษย์แตกต่างจากลิงอย่างไร

มนุษย์แตกต่างจากลิงอย่างไร
 ทั้งลิงและมนุษย์ จัดอยู่ในกลุ่มใหญ่ เดียวกัน เรียกว่า primates ซึ่งมีการแบ่งชนชั้นกันดังนี้
ลิง (monkeys หรือ non-human primates) ได้แก่ ลิงทั่วไปที่เราเห็นอยู่ทั่วไปทุกวันนี้ รวมทั้งลิงโบราณที่เคยมีชีวิต อยู่เมื่อ 2 ล้านปีก่อน ในครั้งนั้นลิงโบราณ ที่เป็นบรรพบุรุษของพวกเรานี้ อาศัยอยู่ใน ทวีปแอฟริกา เชื่อกันว่าแอฟริกาในยุคโน้น เป็นพื้นที่ป่าเขียวขจีมีพืชพันธุ์ ธัญญาหารและน้ำอุดมสมบูรณ์
ลิงใหญ่ (apes) คือลิงที่มีวิวัฒนา-การสูงกว่าลิงธรรมดา มีสมองใหญ่กว่าสัตว์อื่นเมื่อเทียบกับขนาดของลำตัว ได้แก่ ลิงชิมแปนซี ลิงอุรังอุตัง ลิงกอริลลา ลิง ใหญ่สามารถกำมือ แบมือ งอนิ้วได้ มันจึงใช้มือทำอะไรได้หลายอย่าง เช่น จับเห็บ หยิบก้อนหินขว้างใส่สัตว์อื่น หยิบกิ่งไม้มาแหย่รังแมลง เอาเศษหินมากะเทาะเปลือกถั่ว
ส่วนชะนี หรือ gibbons เป็นลิงที่จัดอยู่ในระดับต่ำกว่า apes เล็กน้อย พฤติกรรมของมันจะอยู่กันเป็นคู่ผัวตัวเมีย อย่างซื่อสัตย์ ห่วงใยซึ่งกันและกันและสามารถร้องได้ด้วยเสียงใกล้เคียงกับมนุษย์ ปัจจุบันลิง apes กำลังสูญพันธุ์ไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอุรังอุตังและกอริลลา อุรังอุตังซึ่งอาศัยอยู่ในเกาะสุมาตรา และเกาะชวาของประเทศอินโดนีเซีย กำลังเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์เป็นอย่างมาก เพราะมันเคลื่อนไหวได้ช้าๆ อย่างสุขุมรอบคอบ จึงไม่ทันต่ออันตรายรอบด้าน ป่าอันเป็นถิ่นอาศัยของมันถูกทำลายไปแล้ว 80% ในช่วงเวลาเพียง 20 ปี ด้วยอะไรที่มนุษย์เรียกว่าการพัฒนา
เป็นลิงที่จัดอยู่ในระดับต่ำกว่า apes เล็กน้อย พฤติกรรมของมันจะอยู่กันเป็นคู่ผัวตัวเมีย อย่างซื่อสัตย์

ส่วนชิมแปนซี นับเป็นสัตว์ที่มี DNA ใกล้เคียงกับมนุษย์มากที่สุด ยังคงอาศัยอยู่ในทวีปแอฟริกา ความที่เป็นลิงใหญ่ที่ปรับตัวได้เก่งที่สุด เคลื่อนไหวได้ว่องไว เอาตัวรอดเก่ง ทำให้มันมีประชากร มากกว่าอุรังอุตังและกอริลลา


วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2558

วิวัฒนาการจากลิงสู่เผ่าพันธุ์มนุษย์

วิวัฒนาการจากลิงสู่เผ่าพันธุ์มนุษย์


ก่อนอื่นเราจำเป็นต้องยอมรับอย่างหน้าชื่นตาบานเสียก่อนว่า มนุษย์กับลิงนั้นมีบรรพบุรุษร่วมกัน หรือพูดง่ายๆ ว่า มนุษย์นั้นมีวิวัฒนาการมาจากลิง มนุษย์มีวิวัฒนาการแยกออกจากลิงเมื่อใด และก้าวล้ำลิงไปแค่ไหน ได้พยายามศึกษากันมานานแล้ว แต่ยังมีช่องว่างที่ไม่สามารถอธิบายได้อยู่หลายช่วงตอน ตามหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ค้นพบจากหินฟอสซิล จากชั้นหินชั้นดินทางธรณีวิทยา จากร่องรอยและชิ้นส่วนต่างๆ ในถ้ำ อาจสรุปได้ว่า มนุษย์เริ่มแยกจากลิงมาเมื่อ 2-3 ล้านปีก่อน เกิดวิวัฒนาการจากลิงเล็กมาเป็นลิงใหญ่ จากลิงใหญ่กลายมาเป็นมนุษย์ลิงและมนุษย์ปัจจุบัน ทุกวันนี้ทั้งมนุษย์และลิง ก็จะยังคงมีวิวัฒนาการต่อไปอีกเรื่อยๆเราน่าจะคอยระวังไว้ด้วยว่า จากนี้ไปลิงอาจจะมีวิวัฒนาการที่สูงขึ้น ในขณะที่มนุษย์อาจมีวิวัฒนาการที่เสื่อมลงก็เป็นได้


การกำเนิดมนุษย์

การกำเนิดมนุษย์
มนุษย์ ( Homo sapiens )ถือกำเนิดบนโลก มากว่า ๒๐๐,๐๐๐ ปี แต่ มนุษย์ เกือบสูญพันธุ์เมื่อ ๗๐ ,๐๐๐ ปีที่แล้ว เนื่องจากเกิด?ระเบิดของภูเขาไฟขนาดยักษ์ ( Super Volcano ) ชื่อ Toba ที่สุมาตราเหนือ อินโดนีเซีย?ทำให้เกิดฝุ่นปกคลุมทั่วโลก และเกิดยุคน้ำแข็งนานกว่า ๗ปี ทำให้มนุษย์ล้มตาย เหลือเพียงกลุ่มเล็กๆ เพียงประมาณ ๒,๐๐๐ คน ที่แอฟริกา ในภาพ ผลจากการระเบิดทำให้เกิด?ทะเลสาป Toba?ความยาว ๑๐๐ ก.ม. กว้าง ๓๐ ก.ม. ลึก ๕๐๐ เมตร
              ส่วนประกอบของพันธุกรรมของประชากรที่เกิดขึ้นต่อเนื่องกัน  โดยการเปลี่ยนแปลงนี้อาจเกิดขึ้นเพียงบางส่วนหรือทั้งหมดอันเป็นผล มาจากปฏิกิริยาที่สิ่งมีชีวิตมีการปรับตัวให้เหมาะสมกับสิ่งแวดล้อม  กระบวนการนี้เมื่อเกิดขึ้นแล้วจะไม่มีการย้อนกลับเป็นอย่างเดิมอีก
จากหลักฐานซากดึกดำบรรพ์  นักบรรพชีวินได้คาดคะเนลำดับขั้นตอนการสืบสายวิวัฒนาการของมนุษย์ได้  ดังนี้
  ออร์เดอร์ ไพรเมต (Primate)ป็นออร์เดอร์หนึ่งในจำนวนทั้งหมด ๑๗ ออร์เดอร์ในคลาสแมมมาเลียการจำแนกสัตว์อยู่ในออร์เดอร์นี้ขึ้นอยู่กับลักษณะหลายๆลักษณะมารวมกันซึ่งเป็นลักษณะที่เป็นผลมาจากวิวัฒนาการของสัตว์พวกนี้ในการอาศัยอยู่บนต้นไม้ ทำให้มีลักษณะมือขาและการใช้ประสาทรับความรู้สึกต่างๆให้เข้ากับการดำรงชีวิตในสิ่งเเวดล้อมดังกล่าวแต่มีวิวัฒนาการของบางลักษณะที่เป็นผลจากวิวัฒนาการในช่วงหลังๆที่เป็นไปเพื่อการดำรงชีวิตอยู่บนพื้นดิน  ลักษณะของออร์เดอร์ไพรเมต คือมีนิ้ว ๕ นิ้ว ปลายนิ้วมีเล็บแบน นิ้วยาว นิ้วหัวแม่มือพับขวางกับนิ้วอื่นได้ดี สมองใหญ่ จมูกสั้นตาชิดกัน(ทำให้สามารถมองภาพจากสองตามาซ้อนกันเกิดเป็นภาพสามมิติซึ่งดีต่อการดำรงชีวิตอยู่บนต้นไม้)ขากรรไกรห้อยต่ำในออร์เดอร์ไพรเมตมีสมาชิกทั้งหมด ๑๘๐ สปีชีส์ที่ยังมีชีวิตอยู่ในโลก ได้เเก่ มนุษย์ ลิงลม ลิงทาเซียร์ ลิงแสม ลิงมาโมเซต กอริลลา ชิมแพนซี และอุรังอุตัง
ลักษณะสำคัญของแฟมิลีโฮมินิดี(Hominidae) คือมีเขี้ยวเล็กและอยู่ในระดับเดียวกับฟันอื่นๆ เดิน ๒ ขา เนื่องจากเปลี่ยนวิถีชีวิตจากบนต้นไม้มาสู่พื้นดิน แต่ก่อนเคยคิดว่าประกอบด้วย จีนัสคือรามาเทคัส มนุษย์วานร มีรูปร่างค่อนข้างเล็ก สูงประมาณ๑ - .๕เมตร และหนักประมาณ ๖๘กิโลกรัม มีโครงกระดูกที่แข็งแรง และรูปแบบของฟันคล้ายมนุษย์ในปัจจุบัน บริเวณลำคัว อาจไม่มีขน ขณะวิ่งลำตัวจะตั้งตรง อยู่กันเป็นกลุ่ม๒๐ -๓๐ คน สามารถใช้หินหรือ เครื่องมือง่ายๆ เช่น กระดูกสัตว์ สำหรับล่าสัตว์ชนิดต่างๆ เป็นอาหารได้ นักวิทยาศาสตร์ก็ได้ขุดพบซากดึกดำบรรพ์ของมนุษย์ พวกนี้ที่บริเวณตอนใต้และตะวันออกของทวีปแอฟริกา จึงให้ชื่อว่า Australpithecus africanus ต่อมาจึงพบมนุษย์วานรพวกนี้อีก มีรูปร่างและขนาดใหญ่กว่า A.africanus จึงเรียกว่า A.robustus มนุษย์วานรชนิดนี้มีขากรรไกรขนาดใหญ่เทอะทะแสดงให้เห็นว่ากินพืชเป็นอาหาร จนกระทั่ง ค.ศ.๑๙๔๗ Donald Joanson ก็ได้ค้นพบมนุษย์วานรพวกนี้อีกชนิดหนึ่งบริเวณทางทิศเหนือของประเทศเอธิโอเปีย มีชื่อเรียกว่า A.afarensis ซึ่งถือว่ามี ความใกล้ชิดกับบรรพบุรุษของมนุษย์ในปัจจุบันมาก Genus Homo เป็นไพรเมตที่สามารถประดิษฐ์เครื่องมือเพื่อนำมาใช้ในการดำรงชีวิตได้แล้วถือว่าเป็นกลุ่มที่มีวิวัฒนาการสูงที่สุด ได้แก่ มนุษย์ในปัจจุบัน ซึ่งมีสายวิวัฒนาการมาจากวานร แล้วเปลี่ยนแปลงมาเป็นลำดับ
จะเห็นได้ว่าวิวัฒนาการของมนุษย์นั้นไม่หยุดนิ่ง มนุษย์รู้จักใช้เหตุผลเพื่อปรับปรุงการดำรงชีพให้เหมาะสม สามารถสร้างเครื่องมือนานาชนิดในการดำรงชีพมนุษย์รู้จักคิดและใช้ปัญหาในการเรียนรู้ด้วยประสบการณ์โดยอาศัยปัญหาในอดีตเป็นแนวทางเพื่ออนาคตรู้จักริเริ่มการมีภาษาพูด  ขนบธรรมเนียมประเพณี ศาสนาและจริยธรรมเมื่อรวมกลุ่มเป็นสังคมก็มีวัฒนธรรมแตกต่างกันไป ตามแต่ละท้องถิ่นสืบทอด หลายชั่วอายุตลอดมา มีความสามารถในการติดต่อสื่อสารระหว่างกัน
               สำหรับมนุษย์ในปัจจุบันนั้น นักวิทยาพบว่า มีลักษณะพิเศษที่แตกต่างจากมนุษย์ในอดีตอยู่หลายประการ คือ
๑.ยืนตัวตรง เคลื่อนที่ด้วยขา ๒ ขา ช่วงขายาวกว่าช่วงแขน
๒.หัวแม่มือสั้นและงอ พับเข้ามาที่อุ้งมือได้ สามารถงอนิ้วทั้ง ๔ ได้ จึงใช้จับ ดึง ขว้าง ทุบ ฉีก แกะ และ
ทำกิจกรรมต่างๆได้ รวมทั้งการออกแบประดิษฐ์เครื่องมือ เครื่องใช้ได้
๓.กระดูกคอต่อจากใต้ฐานหัวกะโหลก กระดูกสันหลังโค้งเล็กน้อย เป็นรูปตัวเอสและสมองมีขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับร่างกาย หน้าสั้นแบน หน้าผากค่อนข้างตั้งตรงขากรรไกรสั้น
๔.กระดูกสะโพกกว้าง ใหญ่และแบนให้กล้ามเนื้อเกาะเพื่อให้ลำตัวตั้งตรงเท้าแบนร่างกายไม่ค่อยมีขนแนวฟันโค้งเกือบเป็นรูปครึ่งวงกลม
การศึกษาค้นคว้าเปรียบเทียบซากดึกดำบรรพ์ของมนุษย์ในอดีต    นอกจากทำให้นักมนุษย์วิทยาทราบความเป็นมา ของบรรพบุรุษมนุษย์ในอดีตแล้ว  ยังทำให้สามารถอธิบายถึงความเป็นอยู่ และการดำลงชีวิตของมนุษย์ในแต่ละยุดได้อีกด้วย  คือ
๑.  การอยู่เยี่ยงเดรัจฉาน ( savagery ) เป็นยุดที่มนุษย์เพศชายยังทำหน้าที่ล่าสัตว์และแสวงหา พืช  ผัก ผลไม้เป็นอาหารตามธรรมชาติ  แบ่งออกเป็น ๓ ระยะ
๑.๑  ระยะก่อนรู้จักใช้ไฟและภาษา  ตรงกับยุดหินเช่นเก่า  ( Eolithic )  พบในมนุษย์พวก Homo  habilis
๑.๒  ระยะรู้จักใช้ไฟและภาษา   ตรงกับเก่าเช่นกัน  มนุษย์พวกนี้รู้จักใช้ถํ้าเป็นที่อยู่  อาศัย  ได้แก่  พวกมนุษย์  Homo   erectus  ซึ่งก็คือ มนุษย์ชวาและมนุษย์ปักกิ่ง นั้นเอง
๑.๓  ระยะรู้จักประดิษฐ์ธนูและลูกศร  ตรงกับยุดหินกลาง มนุษย์พวกนี้รู้จักการใช้หนังสัตว์เป็นเครื่องนุ่งห่มได้แก่ มนุษย์Homo  sapiens
๒.การอยู่อย่างป่าเถื่อน(Babarism)เป็นบยุคที่มนุษย์รู้จักการใช้โลหะทำเครื่องมือ ทำการเกษตรกรรม  ทอผ้า  สังคมในยุคนี้มีระบบทาส  เพศชายมีภรรยาได้หลายคน และทำหน้าที่ปกครองส่วนเพศหญิงทำหน้าที่เป็นแม่บ้านแบ่งเป็น ๓ ระยะคือ
๒.๑ ระยะแรกประมาณ ๑๒๐๐๐  ปีมาแล้ว ยุคนี้มนุษย์รู้จักการปลูกบ้านสร้างเรือนเพื่ออยู่อาศัย รู้จักใช้ขวานมีด้ามและใช้เครื่องปั้นดินเผา
๒.๒ ระยะกลางประมาณ ๑๐๐๐๐  ปีมาแล้วมนุษย์ยุคนี้รู้จักการเลี้ยงสัตว์การเกษตรกรรมรู้จักใช้สัตว์ช่วยในการไถนาหรือบรรทุกสิ่งของ
๒.๓ ระยะหลังประมาณ ๗๐๐๐ ปีมาแล้ว มนุษย์รู้จักใช้โลหะทำอาวุธหรือเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ
๓.การอยู่อย่างมีอารยธรรม(Civilization)เป็นยุคที่มนุษย์รู้จักการประดิษฐ์เครื่องทุ่นแรง มีการใช้ตัวอักษรในการสื่อความหมาย สังคมเปลี่ยนจากเกษตรกรรมเป็นอุตสาหกรรม

Web master



นางสาวสุดฤทัย  ชัยแสงฤทธิ์
อาจารย์ประจำวิชา
ตำแหน่ง รองผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ
วิทยาลัยเทคโนโลยีอีสานหนือ



นายชาญชัย  บุตรแก้ว
อาจารย์ที่ปรึกษาโครงการ
ตำแหน่ง อาจารย์แผนกคอมพิวเตอร์ธุรกิจ
วิทยาลัยเทคโนโลยีอีสานหนือ


นายณัฐพล นามแสน
ผู้จัดทำโครงการ
นักศึกษา
วิทยาลัยเทคโนโลยีอีสานหนือ