พัฒนาการของมนุษย์ในยุคออสตราโลพิเธคัส
(Australopithecus)
ออสตราโลพิเธคัส
(Australopithecus) เป็นต้นบรรพบุรุษมนุษย์ในระยะเริ่มแรกที่ปรากฏอยู่เมื่อประมาณ
5 - 4 ล้านปีมาแล้ว แต่ยังอยู่ในสกุล Homo แบบมนุษย์มีความจุสมองประมาณ 450 ลูกบาศก์เซนติเมตร
มีส่วนสูง 3 ฟุตเศษ
ยืนตัวตรงมีฟันคล้ายฟันมนุษย์แต่สมองยังมีขนาดเล็ก
นักโบราณคดีส่วนใหญ่เชื่อว่าแม้ออสตราโลพิธิคัสจะรู้จักเดิน 2 ขา แต่การกินอาหารของพวกเขาส่วนใหญ่ก็ยังเป็นผลไม้ เมล็ดพืช พืชหัวต่างๆ
เป็นหลักมากกว่าการกินเนื้อสัตว์
ซากฟอสซิลของออสตราโลพิเธคัสที่รู้จักกันดีคือ
“ลูซี่” (Lucy) ขุดพบที่แหล่งฮาดาร์
(Hadar) ประเทศเอธิโอเปีย โดยหลุยส์ ลีคกี (Louis
Leakey) เป็นฟอสซิลที่มีร่างกายเกือบครบทุกส่วน มีอายุประมาณ 2.9
ล้านปีมาแล้ว
ลูซี่เป็นโครงกระดูกของมนุษย์เพศหญิงที่สามารถเดินสองขาและยึดลำตัวตรงได้
ซากฟอสซิลของออสตราโลพิเธคัสที่รู้จักกันดีคือ
“ลูซี่” (Lucy) ขุดพบที่แหล่งฮาดาร์
(Hadar) ประเทศเอธิโอเปีย โดยหลุยส์ ลีคกี (Louis
Leakey) เป็นฟอสซิลที่มีร่างกายเกือบครบทุกส่วน มีอายุประมาณ 2.9
ล้านปีมาแล้ว
ลูซี่เป็นโครงกระดูกของมนุษย์เพศหญิงที่สามารถเดินสองขาและยึดลำตัวตรงได้
ออสตราโลพิเธคัส
วิวัฒนาการแต่กออกเป็น 2 สาย สายหนึ่ง เรียกว่า โรบัสตัน (Robustus) กินพืชที่แข็งและมีกากใยมาก จึงมีฟันกรามและขากรรไกรใหญ่ ใบหน้าใหญ่
กะโหลกศีรษะหนาและมีสันนูนอยู่ตรงกลาง โรบัสตัสสูญพันธุ์ไปแล้วเมื่อประมาณ 1
ล้านปี สายอีกสายหนึ่ง เรียกว่า แอฟริกานัส (Africanus) เป็นพวกที่กินเนื้อสัตว์เป็นอาหาร
ทำให้ได้พลังงานมาสร้างพัฒนาการทางสมองมากขึ้น กินอาหารที่แข็งและมีกากใยน้อยลง
ทำให้มีฟันกรามและขากรรไกรเล็กกว่าโรบัสตัส กระดูกใบหน้าและกะโหลกศีรษะบาง
ไม่มีสันนูนที่กลางกระโหลก ออสตราโลพิธิคัส แอฟริกานัส
เป็นกลุ่มได้วิวัฒนาการขึ้นมาเป็นมนุษย์สกุลโฮโม (Homo)
มนุษย์นีแอนเดอร์ธัล ปรากฏเมื่อประมาณ
75,000 ปีกมาแล้ว เนื่องจากขุดพบครั้งแรกบริเวณที่ราบลุ่มนีแอนเดอร์ (Neander)
ของประเทศเยอรมัน จึงตั้งชื่อตามที่ราบลุ่มที่ขุดพบ คำว่า tal
ในภาษาเยอรมันหมายถึงที่ราบลุ่ม (valley) ลักษณะทางกายวิภาคของมนุษย์นีแอนเดอร์ธัล
คือ มีกะโหลกศีรษะใหญ่ มีความจุสมองมากขึ้น คือ ประมาณ 1,300 ลูกบาศ์กเซนติเมตร
ซึ่งมีความใกล้คียงกับมนุษย์ปัจจุบัน สันคิ้วและกระดูกโหนกหน้าผากลาดเอียง
มนุษย์นีแอนเดอร์ธัลมีขนาดความสูงประมาณกว่า 5 ฟุตเล็กน้อยการประดิษฐ์เครื่องมือหินแบบมูส์เตเรียน
(Mousterian) ซึ่งมีขนาดเล็กลงและมีขอบคมกว่าเครื่องมือหินแบบอาชูเลี่ยน
แสดงให้เห็นว่านีแอนเดอร์ธัลใช้เครื่องมือในการทำงานที่ละเอียดประณีตมากขึ้น เช่น
แกะสลักไม้และกระดูกสัตว์ เริ่มมีศิลปะการตกแต่งเกิดขึ้น และจากซากโครงกระดูกที่จัดอย่างเป็นระเบียบ
รายรอบด้วยเครื่องมือใช้ท่ทำด้วยหินและกระดูกสัตว์ทำให้สันนิษฐานว่าคนเหล่านี้มีพิธีทำสพและอาจมีแนวความคิดเกี่ยวกับเรื่องวิญญาณเป็นอมตะ
ซากโครงกระดูกของนีแอนเดอร์ธัลพบในประเทศเบลเยี่ยม ฝรั่งเศส สเปน ยูโกสลาเวีย
อิสราเอล อิตาลี เป็นต้นเชื่อกันว่ามนุษย์โฮโม เซเปียนส์ เซเปียนส์
ซึ่งเป็นอีกสายพันธุ์หนึ่ง ซึ่งพัฒนาตัวเองขึ้นในอาฟริกา
ได้ก้าวเข้ามาแทนที่มนุษย์นิแอนเดอร์ธัลที่สูญพันธุ์ไป สันนิษฐานว่า
อาจเนื่องจากถูกตามล่าฆ่าหมดหรือถูกกดดันหลบไปอยู่ตามที่ห่างไกลจนสูญพันธุ์หมดไป
หรืออาจมีบางส่วนผสมพันธุ์ กับโฮโม เซเปียนส์ เซเปียนส์ แล้วค่อย ๆ กลายมาเป็นโฮโม
เซเปียนส์ ในปัจจุบัน
จุดหลังนี้เป็นข้อสันนิษฐานซึ่งยังไม่มีการพิสูจน์การมีภาษาเบื้องต้นน่าจะพัฒนาในช่วงของโฮโม
เซเปียนส์ เนื่องจากการวิเคราะห์โครงสร้างกายภาพ พบว่าโฮโม เซเปียนส์
มีกล่องเสียงเคลื่อนลงมาอยู่บริเวณกลางลำคอซึ่งเป็นตำแหน่งที่จะเปล่งเสียงเป็นภาษาพูดได้ในขณะที่สัตว์ไพรเมตส์ชนิดอื่น
รวมทั้งมนุษย์ก่อนหน้านี้มีกล่องเสียงอยู่ในตำแหน่งบนสุดของลำคอ
ทำให้ไม่น่าจะสามารถเปล่งเสียงเป็นคำพูดได้นอกจากนี้
พัฒนาการของภาษาพูดยังสัมพันธ์กันกับสมองส่วนหน้าซึ่งเกี่ยวข้องกับการใช้ความคิดสร้างสรรค์ได้พัฒนาขึ้น
ภาษาเป็นเครื่องมือสำคัญในการถ่ายทอดวัฒนธรรมและวิถีชีวิต
นักมานุษยวิทยาพบว่ามนุษย์นีแอนเดอร์ธัลอาจเริ่มมีการประกอบพิธีกรรม
โดยเฉพาะพิธีฝังศพ ซึ่งสะท้อนว่าเริ่มมีจินตนาการเรื่องโลกหลังความตาม
แต่ก็มีผู้แย้งหลักฐานนี้ว่าดอกไม้ที่พบในหลุมศพอาจเป็นเกสรดอกไม้ป่าที่ปลิวมาได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น